(22/09/15)
(In class)
Sentence ในภาษาอังกฤษอาจเข้าใจได้ทันที่สำหรับคนที่เคยเรียนเคยอ่านมาก่อน
ตำว่า Sentence ในภาษาไทยก็คือ ประโยคนั่นเอง
ประโยคในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นมีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก
ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค การเรียงประโยค แต่ก็จะมีสิ่งที่แตกต่างเช่นกัน เช่น
คำนาม ในภาษาอังกฤษจะแจกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1,2 และ 3
อย่างเด่นชัดและมีการเติม –s ที่กริยาของประธานบุรุษที่
3 เอกพจน์ แต่ภาษาไทยไม่ คำกริยา
คำที่นับได้ว่าเป็นหัวใจของประโยคคำกริยาในภาษาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาล (tence) เสมอว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต และอีกมากมายที่ประกอปอยู่ในประโยคนั้นๆ
ในภาษาอังกฤษ ประโยคหรือ Sentence หมายถึง
กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธานและภาคขยายประธาน
ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ
โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งโดยทั่วไปแล้ว Sentence จะประกอบด้วยภาคประธาน(Subject) และภาคขยายประธานหรือภาคแสดง(predicate)ประโยคในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 ประเภท คือ
Simple sentence ประโยคความเดียว
มีใจความสำคัญเพียงใจความเดียว มีประธานและกริยาที่บ่งบอกแค่การทำอย่างเดียว Compound
sentence ประโยคความรวม ประโยคที่มีใจความสำคัญมากกว่า 1 โดยทั้งสองจะเชื่อมด้วยคำเชื่อม (and,but,or,so,for,nor,yet) และเมื่อแยกประโยคทั้งสองออกจากกันจะได้ประโยคที่มีใจความสมบูรณ์
และอีกประโยคจะมีใจความไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถอยู่โดยลำพังได้ (Dependent
clause) และประเภทสุดท้ายคือ Compound Complex sentence ประโยคที่มีทั้งความรวมและความซ้อนอยู่ด้วยกัน จึงประกอบไปด้วยประโยคที่มีใจความสมบูรณ์อย่างน้อย
2 ประโยค และที่ไม่สมบูรณ์อีก 1 ประโยค
โดยประโยคที่มีใจความสมบูรณ์นี้เรียกอีกอย่างได้ว่า กลุ่มคำหรืออนุประโยคหรือ Clause
นั่นเอง
Clause หรือ อนุประโยค
คือกลุ่มคำซึ่งมีประธานและกริยาในประโยคแต่มีใจความไม่สมบูรณ์ในตัวเอง
จึงไม่สามารถใช้โดยลำพังได้ ต้องอาศัยใจความจากประโยคหลัก (main clause) เข้ามาช่วยหรืออีกนัยหนึ่ง clause คือประโยคที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั่นเอง
Clause
สามารถใช้เสมือนเป็น Noun, Adjective หรือ Adverb
ก็ได้ โดย clause สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3
ชนิด คือ Noun clause ประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำนามในประโยค
แต่มีใจความสมบูรณ์ในตัวเอง
ต้องอาศัยใจความประโยคหลัก Noun clause จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำนาม
เช่น how, what, which, where, why, who, whom, whose และมักขึ้นต้นประโยคด้วย
that ซึ่งแปลว่า “ว่า” Noun
clause จะทำหน้าที่เป็นประธานของกริยา กรรมของกริยา กรรมของบุพบท
เป็นส่วนสมบูรณ์ของประโยคและเป็นคำซ้อนของนามหรือสรรพนาม ประเภทที่สอง Adjective
Clause ประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์คือขยายคำนามหรือสรรพนาม
ลักษณะของ Adjective Clause จะทำหน้าที่ด้วยคำเชื่อม relative
pronoun (who, whom, that, which, whose) และ relative
adverb (when, where, why) และชนิดสุดท้ายคือ Adverb clause ประโยคที่ทำหน้าที่เหมือน adverb clause มี 9
ชนิด ได้แก่ Adverb Clause of time, place, manner
comparison, cause or reason, purpose, result และ concession
นอกจากนี้ยังมี Adverb clause of condition ประโยคที่ทำหน้าที่ขยายกริยาเพื่อแสดงเงื่อนไข
หรือ IF-Clause นั่นเอง
If-Clause หรือ Condition
sentences คือประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไขหรือการสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก
2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย condition “if” ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clause
และประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้นเราเรียกว่า main clause เช่น
If it rains, I shall stay at home
If – Clause main clause
If – Clause หรือ Condition sentences จะมี 3 แบบใหญ่ๆ ดังนี้
1.
>>>Present
Possible If + present verb,
will/may/can + V. จะใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
เป็นความจริง ตามหลักวิทยาศาสตร์ ใช้กับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างประโยค เช่น
-
If you turn to the east, you see the sun rising.
-
If I have a new dress, I will go to the party.
2.
>>>Present
Unreal If
+ past tense verb, would/might/could + V. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน
3.
>>>Past
Unreal ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ในอดีต If + past perfect tense verb, would have +
V.ed Past Unreal จะใช้เพื่อเหตุการณ์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ตัวอย่างประโยคเช่น
-
If you had eaten fat and carbohydrate lass,
You
would have been thin.
นอกจากนี้เราสามารถใช้
Unless (ถ้าไม่) ใน If –
Clause ได้ด้วย สามารถใช้แทนคำว่า if…not ตัวอย่างประโยคเช่น
Unless I study hard, I wouldn’t pass
the exam. ใน If – clause หรือ Condition
sentence มีข้อสังเกตอยู่หลายข้อ คือ ใน If – Clause จะไม่ตามด้วย Future Tense เลย
แม้ว่าความหมายจะเป็นอนาคตก็ตาม ข้อสังเกตประการต่อ will จะใช้ใน
If – Clause แต่ไม่ได้แสดงความหมาย “อนาคตกาล”
แต่แสดงถึงความเต็มใจหรือตั้งใจทำ (willingness) เช่น If you will sign this agreement, I will let you have the
money at once. ในตัวอย่างประโยคนี้เราสามารถใช้ would แทน will ได้จะทำให้สุภาพยิ่งขึ้น ข้อสังเกตต่อมาใน If
– Clause ที่แสดงเงื่อนไขไม่จริงในอนาคต มักจะใช้ “were” กับทุกๆประธาน ข้อสังเกตประการสุดท้ายในการวาง If – Clause กับ main clause การวาง If
– clause ก่อนและตามด้วย main clause ไว้ก่อนจะต้องมีเครื่องหมาย
comma กั่นระหว่าง If – clause ก่อนและตามด้วย
main clause จะมีความหมายว่าที่เน้นมาก
ซึ่งส่วนมากจะวางในลักษณะแบบนี้ แต่หากว่า If – clause ได้ก่อนจะต้องมีเครื่องหมาย
comma คั่นระหว่าง If – Clause กับ main
clause ด้วย หากวาง main clause ไว้ข้างหน้า
แล้วตามด้วย If – clause ความหมายของ If – clause แบบนี้จะไม่เน้น แต่เป็นการกล่าวธรรมดา
สรุปสิ่งที่ได้เรียน
จากการเรียนรู้ในห้องเรียนจากที่อาจารย์ได้สอนในเรื่องของ
IF – Clause หรือ Condition Sentence ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นส่วนหลังจากนั้นได้มีการค้นหาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่อง
If – Clause ซึ่งก็คือ If – clause คือ
ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไขหรือสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย Condition if ประโยคที่นำหน้าด้วย
if เรียกว่า if – clause และประโยคที่แสดงเงื่อนไขเรียกว่า
main clause โดย If – Clause จะมี 3
แบบใหญ่ๆ คือ Present Possible, Present Unreal และ Past Unreal ซึ่งแต่ละแบบจะมีความหายแต่งต่างกัน
และจะมีข้อสังเกตให้เราได้เห็นถึง If – clause ในแบบต่างๆนอกจากนี้ยังมีโครงสร้างที่แตกต่างกันไปด้วย
เราควรที่จะเลือกใช้ให้ถูกต้องและหมั่นฝึกฝนการใช้ประโยค If – clause ด้วย
Learning Log 7
(Out class)
ทุกวันนี้โลก
สังคม ได้พัฒนาและมีความเจริญเข้ามาอย่างมากมาย
การใช้เทคโนโลยีก็มาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เครื่องมือต่างๆ
หรืออุปกรณ์ต่างๆที่ใช้งานง่ายและสามารถหาซื้อได้ง่ายเช่นกัน
การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ การเรียนจะทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจและสามารถเข้าใจเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษก็เช่นกันภาษาจะทำให้เราและโลกเปิดกว้าง
สามารถหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้จากแหล่งใดก็ได้ เราบางคนชอบเรียนภาษาอังกฤษมาก
แต่บางคนก็ไม่ชอบวิชานี้กัน เพราะน่าเบื่อสำหรับพวกเขา
ปัจจุบันมีวิธีการเรียนรู้ภาษามากขึ้น เราสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเรียนรู้ภาษาได้
และนอกจากวิธีการต่างๆ เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ภาษาได้ เช่นกัน
การบูรณาการความบันเทิงและเรียนรู้เข้าด้วยกันจะทำให้เราเกิดความไม่น่าเบื่อและมีความสนุกในการเรียนภาษา
วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่น่าเบื่อ เป็นสิ่งใกล้ตัวเราที่เราทำเกือบจะทุกวัน
และเราชอบที่ทำด้วย วิธีการนี้ก็คือ การดูหนัง ดูภาพยนตร์
ดิฉันได้ยินวิธีการฝึกภาษาโดยวิธีการนี้จากอาจารย์หลายๆท่านจึงลองทำดู
ด้วยความอยากรู้ของดิฉัน
จึงได้ทดลองทำวิธีการนี้เพื่อฝึกภาษาของตนเองโดยการหาหนังหรือภาพยนตร์ที่เป็นการ์ตูนหรือไม่ก็
Animation จึงไว้ค้นหาดูจาก Internet แล้วเจอกับเรื่อง Corpse Bride เนื่องด้วยดิฉันเป็นคนชอบดูการ์ตูนจึงอยากเริ่มฝึกจากเรื่องนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องของชายหญิงคู่หญิงที่ถูกจับแต่งงานกันโดยไม่เคยพบกันมาก่อน
ทั้งสองครอบครัวที่มีความแตกต่างกันต้องจำใจให้จัดงานแต่งงานให้วิกเตอเรียและแวนดอร์ท
ท่ามกลางความวุ่นวายทุกคนตื่นเต้น
ยกเว้นเจ้าสาวและเจ้าบ่าวที่ต้องแต่งงานโดยไม่รู้รักกัน แต่ในวันซ้อมงานแต่ง
วิกเตอเรีย เธอกล่าวคำ สาบานพลาดไป
และจุดไฟบนว่าที่แม่ยายโดยไม่ได้ตั้งใจ
และเธอก็ถูกบาทหลวงไล่ออกจากโบสถ์และเดินไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
และมีหญิงสาวสวมชุดเจ้าสาวโผล่ขึ้นมาจากดิน
มีแหวนของวิดตอเรียอยู่ในนิ้วของกระดูกของเธอ
เธอสาบานตัวเองเพื่อแต่งงานกับเจ้าสาวซากศพ ตั้งแต่เธอถูกฆ่าในคืนวิวาห์ วิคเตอร์กลายเป็นเจ้าบ่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
และถูกลากลงไปใต้พื้นดิน ดินแดนแห่งความตาย
เขาเฝ้ารอคอยเพื่อที่จะกลับมาหาวิดเตอเรีย เขาพยายามที่จะหาทางหนีจากดินแดนแห่งความตายนี้แต่เจ้าสาวซากศพไม่สวย
วิกเตอร์หาทางกลับมาสู่อ้อมกอดแห่งรักแท้ของเขา
หนังเรื่องนี้มีชื่อเรื่องไทยว่า
เจ้าสาวศพสวย เป็นหนัง Animation โดยค่าย Warner Bros Protures คือค่ายผู้ผลิต
เป็นหนังที่สนุกตื่นเต้นมาก ถึงแม้ว่าจะผลิตและเข้าฉายมาหลายปีแล้ว
โดยดิฉันเริ่มจากการฟังเสียงพากย์ไทยก่อนเพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ
ของหนังก่อน ต่อมาดูอีกรอบแต่ให้เปลี่ยนเป็นพากย์ภาษาอังกฤษแล้วลองฟังเสียง
ถือเป็นการฝึกทักษะการฟังไปด้วยอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นดูซ้ำอีกครั้งโดยเพิ่ม sub
ภาษาอังกฤษ ให้เราดูการใช้ภาษาการเขียนประโยคต่างๆสำนวนคำพูดที่ใช้
เพราะมักจะเป็นสำนวนที่ใช้ประจำและเป็นเรื่องใกล้ตัวของเราด้วยทำให้เราจำได้
เข้าใจง่ายด้วย ยิ่งเป็นหนังที่เราชอบและสนุกไปกับหนังการเรียนรู้ของเราก็จะเป็นไปได้ง่าย
และเกิดความเข้าใจและได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้วิธีการนี้
จะทำให้เราได้ฝึกทักษะการฟัง การอ่าน เพิ่มเติมไปอีกด้วยการเรียนรู้ของเราก็ยิ่งดีและพัฒนาขึ้นอีกมาก
สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้
โลกสังคม พัฒนา
เทคโนโลยีมีให้เลือกใช้มากมาย ในการเรียนภาษาเราสามารถใช้มันมาบูรณาการประยุกต์ใช้ได้
ไม่ว่าจะวิธีการเรียนรู้ของทักษะใดก็ตาม แต่วิธีการหนึ่งที่นิยมกันก็คือ
การเขียนภาษาจากการดูหนังได้เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อ เราควรเลือกหนังที่เราชอบ
และเป็นการใช้ภาษาที่ไม่ยากนัก เพื่อให้เราเข้าใจง่าย
เมื่อเราดูแล้วเราควรพัฒนาระดับความยากของหนังด้วย
เราจะได้พัฒนาตัวเราไปเพิ่มขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น