วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 16 “อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ แบบบรูณาการทักษะ” 30/10/58 (ภาคบ่าย)

30/10/58 (ภาคบ่าย)
            ในการอบรมในภาคบ่ายในหัวข้อวิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ผศ.ดร. ศิตา เยี่ยมขันติถาวร เน้นการปฏิบัติ อาจารย์ได้ให้ผู้ที่เข้าอบรมได้ร่วมกันทำกิจกรรมมากมาย เป็นกิจกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนได้จริง แต่ละกิจกรรมจะช่วยฝึกการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนและยังมีความแปลกใหม่ พร้อมทั้งมีความสนุกสนาน ไม่น่าเบื่ออีกด้วยกิจกรรมเหล่านี้จะมีดังนี้ คือ กิจกรรมทิกแท็กโท กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานได้มากและทุกคนได้มาร่วมสนุกกัน ต่อไปกิจกรรมสร้างทั้งความรู้ในด้านภาษา แล้วยังเป็นการฝึกทักษะความกล้าหาญ ความมั่นใจในตัวเอง
            กิจกรรมแรกกิจกรรมทิกแท็กโท จะเป็นกิจกรรมคล้ายกับการเป่า ยิง ฉุบ โดยจะมีขั้นตอนการเล่น คือ 1. ให้นักเรียนจับคู่กันเป่ายิงฉุบเพื่อหาผู้ชนะ ฝ่านใดแพ้จะไปต่อแถวหลังผู้ชนะ 2. โดยผู้ชนะจะไปเป่ายิงฉุบกับผู้ชนะอีกทีม 3. ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 2 ทีม สุดท้าย แล้วเปายิงฉุบเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ในการเป่ายิงฉุบแต่ละครั้งก่อนจะเป่ายิงฉุบจะร้องเพลงที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษ
            Left to the left
            Right to the right
            Foeard Forward
            And back back (เป่ายิงฉุบ)
กิจกรรมนี้จะสร้างความสนุกให้กับผู้เรียนได้เป็นอย่างมาก สามารถประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้ดีอีกวิธีหนึ่ง
กิจกรรมที่สอง กิจกรรมการเล่านิทานเป็นกิจกรรมที่มีสาระความรู้และเป็นการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ฝึกให้ผู้เรียนได้คิด และ มีจินตนาการโดยกิจกรรมนี้มีขั้นตอนการทำกิจกรรมดังนี้ 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันส่งตัวแทนแต่ละกลุ่มออกไป 2. ให้คนที่หนึ่งเริ่มพูดประโยคเป็นภาษาอังกฤษเพียง 1 ประโยค ที่เกี่ยวกับนิทาน ซึ่งเกี่ยวกับอะไรก็ได้ 3. คนต่อไปก็เช่นกันพูดประโยคมา 1 ประโยค 4. ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนถึงคนสุดท้าย คนสุดท้ายจะต้องจำนิทานให้ได้เพียงแค่ 1 ประโยค วิธีการสอนแบบนี้ถือว่าเป็นการสอนที่ดี ฝึกให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์จินตนาการ มีความมั่นใจ ต่อมา ผศ.ดร ศิตา ให้แต่แต่ละกลุ่มกลับมาวาดภาพ 5 ภาพ ที่เกี่ยวกับนิทานเรื่องนั้น ทุกคนในแต่ละกลุ่ม มีความตั้งใจมากร่วมการวาด และระบายสี หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มออกไปนำเสนอภาพและเล่านิทานเรื่องนั้น โดยมีข้อกำหนดว่าห้ามพูดเกินกว่า 3 ประโยค ซึ่งเป็นเรื่องยากมากแต่ละกลุ่มก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี

            กิจกรรมได้ทำให้ดิฉันได้รู้ว่าการเรียนการสอนให้ได้ดีและมีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องมีวิธีการสอนเทคนิคการสอนที่แปลกใหม่จะต้องทำให้เด็กรู้สึกชอบ จะต้องฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดด้วยไม่ใช่เพียงต้องสนุกเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องได้ความรู้ด้วย เพราะทั้งผู้สอนและผู้เรียนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการการเรียนการสอนให้หลากหลาย ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน รวมทั้งฝึกให้ผู้เรียนมีความสามารถที่หลากหลาย ดังนั้นในการเรียนการสอน ต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ

Learning Log 15 “อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ แบบบูรณาการทักษะ” 30/10/58 (ภาคเช้า)

วิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21”
            ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนั้น การเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทั้งวิธีการสอน จุดประสงค์ และจุดเน้นในการสอนด้วย สำหรับการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันยุคศตวรรษที่ 21 ก็แปรเปลี่ยนจากเดิม ด้วยองค์ความรู้ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาขึ้น พฤติกรรมของคนเริ่มเปลี่ยนไป รูปแบบการเรียนรู้จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนพัฒนาให้ทันต่อยุคสมัย ในการเรียนไม่ใช่เพียงแต่เรียนรู้เพียงวิชาการเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆ ทักษะชีวิต และทักษะการทำงาน ผศ.ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถาวา ได้ให้แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นกฎเกณฑ์ทางภาษา เน้นการปฏิสัมพันธ์และเน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา และเน้นบูรณาการเนื้อหาและภาษาไว้ในการอบรมในครั้งนี้
            วิธีสอนแบบเน้นไวยากรณ์และการแปล (The Grammar Translation Method) วิธีการสอนแบบนี้ไม่เน้นการฟังและการพูดแต่จะเน้นหลักไวยากรณ์และการแปล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอ่านได้ และมีการใช้วิธีสอบแบบภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถอ่านบทอ่านได้เข้าใจและเห็นคุณค่าของภาษา แต่สำหรับวิธีการสอนแบบนี้จะเน้นการท่องจำและความถูกต้องทางการใช้ภาษา ดิฉันคิดว่าวิธีการนี้อาจทำให้ผู้เรียนเกิดความเครียดได้ และการเน้นให้นักเรียนจำเพียงอย่างเดียว นักเรียนอาจไม่เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และจำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น การสอนที่ดีควรต้องให้ผู้เรียนได้เข้าใจ ได้พัฒนาสมองมากกว่าแค่ความจำเพียงเท่านั้น
            วิธีการสอนแบบตรง (The direct Method) วิธีการสอนแบบตรงอิงแนวคิดที่ว่า ภาษา คือ ภาษาพูด การเรียนภาษา คือ การให้ผู้เรียนได้สื่อสารด้วยภาษาที่เรียนนั้น และเผื่อให้ประสบการณ์ผลสำเร็จยิ่งขึ้น ควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการที่จะคิดเป็นภาษาที่เรียนด้วย ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาจึงควรใช้ภาษาต่างประเทศที่เรียนนั้นตลอดเวลา และให้สื่อสารได้เช่นเดียวกับสถานการณ์จริง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเน้นให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ เริ่มจากการสอนระบบเสียง ให้ผู้เรียนฝึกเลียนแบบเสียงและแยกเสียงให้ถูกต้อง แล้วจึงฝึกฟังความหมายในประโยค จากบทสนทนาสั้นๆ ผศ.ดร.ศิตา ได้กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเรียนภาษา คือ การฟังแล้วค่อยๆ พูดออกเสียงออกมา ถือว่าเป็นการเลียนเสียงของเจ้าของภาษานั่นเอง
            วิธีการสอนแบบฟัง พูด (The Audio – Lingual Method) การสอนภาษาควรเริ่มจากการฟัง พูด ซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่การอ่าน และ การเขียน ดังนั้น ภาษาที่นำมาให้ผู้เรียนได้เรียน ควรเป็นภาษาที่เจ้าของภาษาใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน จึงมีการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเจ้าภาษาด้วย เริ่มต้นด้วยภาษาพูด โดยยังไม่ให้ผู้เรียนเห็นรูปแบบของภาษา ผู้เรียนจะต้องเลียนแบบเสียงผู้สอน จนสามารถฟังเข้าใจ ดิฉันคิดว่าอาจให้ผู้เรียนได้ฟังเจ้าของภาษาของพูดก็อาจเป็นหนึ่งที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะการพูดที่ดีขึ้นได้ เมื่อฟังและพูดพัฒนาดียิ่งขึ้นแล้วจึงเริ่มพัฒนาการฝึกอ่านและการเขียน
            นอกจากนี้ยังมีวิธีการสอนตามแนวธรรมชาติและอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ทักษะทางภาษา พัฒนาการสื่อสารและสามารถใช้ภาษาในการสื่อสาร การอ่าน การเขียน การฟัง และการพูดได้ การรับรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยไม่มีใครสอนก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ แต่อย่างไรแล้วก็จะต้องยังคงความถูกต้องการใช้ไวยากรณ์ด้วย เบื่อการเรียนรู้เกิดขึ้นแล้ว และได้รับการฝึกฝนบ่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดการเก็บสะสมประสบการณ์ต่างๆ และสามารถระลึกและถ่ายทอดออกมาได้

            สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอบรมในหัวข้อวิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอนนั้นจะประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ หลายๆ อย่างมารวมกัน วิธีการสอนต่างๆ จะต้องเหมาะกับผู้เรียน มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพ มีความรู้ และนอกจากด้านวิชาการแล้วการเรียนการสอนใน C21 นั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วย

Learning Log 14 “อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ แบบบรูณาการทักษะ” 29/10/58 (ภาคบ่าย)

29/10/58 (ภาคบ่าย)
            การเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบบรูณาการทักษะ เป็นการเรียนการสอนที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ หลากหลายรูปแบบ และรวมไปถึงกระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วย ซึ่งในปัจจุบันเทคนิควิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษนั้นมีหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีการจะมีความแตกต่างกันไป แต่ทุกๆ วิธีการนั้นมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้น และยังทำให้ผู้เรียนมีความต้องการที่จะเรียนมากขึ้น ประสิทธิภาพของผู้เรียนดีขึ้นผ่าน กิจกรรม หรือ อาจจะเป็นเกมส์ ต่างๆ ซึ่งสามารถสอนได้หลากหลายทักษะ ทั้งคำศัพท์ การออกเสียง และอีกวิธีหนึ่งคือการทำกิจกรรม Role play หรือ การแสดงบทบาทสมมุตินั่นเอง วิธีการนี้จะทำให้ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรม (Culture) ทางภาษา และสำนวนภาษาที่ใช้ด้วย แต่ก่อนที่จะออกแบบเทคนิควิธีการสอนให้มีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาด้วย และสอนให้เด็กหรือผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีด้วยเช่นกัน ฉะนั้นผู้สอนภาษาจะต้องตระหนักและเป็นผู้ที่เลือกใช้และออกแบบการเรียนการสอนเพื่อให้เอื้อต่อผู้เรียน สามารถนำภาษาไปใช้ได้จริง
            การสอนคำศัพท์ หนึ่งวิธีการสอน การสอนคำศัพท์จะทำให้ผู้เรียนมีคลังคำศัพท์ของตนเองในการสอนก็ควรมีการออกเสียงให้ผู้เรียนฟังด้วยการที่ให้ผู้เรียนทำการฝึกซ้ำๆ จะช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านภาษาอังกฤษได้วิธีการต่อมาคือให้นักเรียนช่วยกันหาคำศัพท์ A-Z ที่มีอยู่รอบๆ ตัวของนักเรียนในห้องเรียน และอีกวิธีการหนึ่งที่ได้เรียนรู้จาการอบรมนี้วิธีการหาคำศัพท์ที่มีอยู่ในภาพของตัวอักษรภาษาอังกฤษมากมาย โดยให้เวลา 5 นาที ในการหา ใครหาได้เยอะสูงสุด ให้อ่านคำศัพท์ให้คนอื่นฟัง และถ้าคนอื่นๆ มีคำศัพท์คำอื่นก็จะยกมือบอกคำศัพท์ถือว่าคำนั้นและคนนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าหากไม่มีใครหาคำศัพท์ได้อีก ต่อไป ครูหรือผู้สอน จะให้นักเรียนคนนั้นได้รางวัลไป การสอนคำศัพท์โดยวิธีการนี้ก็สนุกสนานมาก นักเรียนบางคนได้คำศัพท์ใหม่ๆ ด้วย เรียกได้ว่า สนุกและได้ความรู้ไปด้วยพร้อมๆกัน
            ต่อมาวิธีการเรียนการสอนที่เรียนรู้จากวัฒนธรรมภาษาโดยสามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสำนวนต่างๆ ของภาษาอังกฤษ และจากสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ตัวอย่างสำนวน เช่น He’s cream of the crop ถ้าเราแปลตรงตัวจะแปลว่า ครีมของการเก็บเกี่ยว แต่ประโยคเป็นสำนวนจะหมายถึงว่า หัวกะทิ ซึ่งหมายคนที่เก่งฉลาดมากๆ Just hold your horses สำนวนนี้หมายถึง ใจเย็นๆ นะ That’s a rip-off หมายถึง นี้มันโกงนี่ หรือ แพงเหลือเกิน He’s trying hard to make ends meet หมายถึง เขาพยายามให้ใช้จ่ายได้เดือนชนเดือน Are you straight? คุณไม่ได้เป็นเกย์ใช่ไหม She’s the apple of my eyes สำนวนนี้หมายถึง เธอเป็นดั่งดวงตาดวงใจของผม แต่ละสำนวนจะบ่งบอกถึงวัฒนธรรมของเจ้าภาษา นอกจากนี้บางสำนวนเมื่ออยู่หรือนำมาใช้ในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมต่างออกไป อาจแปลความหมายต่างออกไปได้เช่นกัน ดังนั้นการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ สำนวนภาษาที่มีการใช้จริงเป็นวิธีทำให้นักเรียนเรียนรู้และนำไปใช้ได้จริงในการสื่อสารภาษา
            นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้การแสดงบทบาทสมมุติ หรือ Role play วิธีการสอนแบบนี้ เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนจะกำหนดหัวข้อเรื่องปัญหาต่างๆ หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริงแล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้า แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมุติ หรือ บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติอาจไม่จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าก็ได้ การแสดงบทบาทสมมุติเป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้แสดง และได้ประสบการณ์จริง และยังได้ทดลองเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมของตนเองในสภาวะต่างๆ และยังได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นกล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าตัดสินใจ การสอนแบบนี้เป็นการสอนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ในการอบรมวันนี้ได้มีการทดลองใช้วิธีนี้โดยให้เพื่อนออกไปแสดงบทบาทสมมุติด้วย ทำให้ดิฉันได้เห็นตัวอย่างถึงการใช้วิธีการนี้ในการเรียนการสอนคือนอกจากจะได้ความรู้แล้วยังช่วยพัฒนาความกล้าและความมั่นใจได้อีกด้วย
                        ดังนั้นในการอบรมในตอนบ่ายครั้งนี้สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เทคนิควิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการ อย่างเช่นการสอนผ่านกิจกรรม และ เกมส์ ทั้งการทำกิจกรรม Role play หรือแสดงบทบาทสมมุติ และการเล่นเกมส์หาคำศัพท์ ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมทางภาษา ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดี และมีการพัฒนาการมีประสิทธิภาพ ในการเรียนการสอน มากยิ่งขึ้นนอกจากนี้สำนวนต่างๆ ก็สามารถบ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางภาษาได้เช่นกันในฐานะที่ดิฉันจะเป็นครูในอนาคตการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการ ครูควรต้องมีทัศนคติที่ดีต่อภาษาด้วย และต้องเลือกใช้เทคนิคการเรียนให้เหมาะสมต่อผู้เรียนและเพื่อให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพสูงสุด


Learning Log 13 “อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ แบบบูรณาการทักษะ”29/10/58 (ภาคเช้า)

29/10/58 (ภาคเช้า)
            จากการได้เข้าอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะในครั้งนี้ตอนเช้าของการอบรมได้มีการพูดคุยกัน และเปลี่ยนทัศนคติระหว่าง ดร.สุจินต์ หนูแก้ว, ผศ.ดร.ประกาศิต และ ดร.สุทร ในหัวข้อที่ว่า สอนอย่างไรให้ “go beyong language learning” สิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้ คือ ปัจจุบันปะเทศพยายามให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษก้าวหน้าขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การสื่อสารเท่านั้น แต่จะต้องเชื่อมโยงกับทักษะด้านอื่นด้วย และต้องสัมพันธ์ไปถึงวัฒนธรรมต่างๆ ด้วย เช่นเดียวกับ ทฤษฎีพหุปัญญาที่ว่าทุกคนมีความสามารถหลากหลาย และแต่ละคนจะมีความสามารถแต่ละด้านต่างๆ ไม่เท่ากัน หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าการเรียนการสอนภาษานั้นการสื่อสาร วัฒนธรรม ข้อเปรียบเทียบและการเชื่อมโยง จะต้องนำมาใช้ในการเรียนการสอน นอกจากนี้ปัจจุบันเด็กไทยมักจะเรียนรู้ผ่านการจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์ ในการเรียนการสอนเพื่อให้การศึกษา go beyong (ก้าวหน้า) จำเป็นต้องมีการนำทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาบวกด้วยทักษะการอ่านและการเขียนด้วย
            นอกจากปัญหาที่เด็กไทยขาดการวิเคราะห์ การศึกษาในช่วงที่ผ่านมามักเป็นการแข่งขัน ในการจะทำให้การเรียนการสอนพัฒนาก้าวหน้าขึ้นนั้น ต้องมีการร่วมมือทำงานร่วม ร่วมกันพัฒนาศักยภาพของการศึกษา และการเรียนการสอน ควรจะสอนให้นักเรียนมีความเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดีด้วย โดยในการฝึกนั้นควรฝึกให้เป็นไปตามขั้นการเรียนรู้ของ พลูม ซึ่งได้แก่ 1. ขั้นความจำ ขั้นที่ต่ำที่สุด ขั้นที่ 2 ขั้นความเข้าใจ ขั้นที่ 3 สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ได้และขั้นต่อไป ขั้นวิเคราะห์ ขั้นที่ 4  สังเคราะห์ และขั้นที่ 5 ประเมินค่า นอกจากนี้ในยุคของสื่อสารและเทคโนโลยี การรู้เท่าทันสื่อก็เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ และควรนำวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์กับการเรียนการสอนด้วยโดยนวัตกรรมนั้นจะต้อง ใหม่ แตกต่าง และดีกว่าด้วย
            ในการอบรมในภาคเช้านี้นอกจากความรู้ด้านงานวิจัยจากการเสวนาของ ผศ.ดร.ประภาศิต และ ดร.สุจินต์ และ ดร.สุนทรแก้ว ยังได้มีการกล่าวถึง project  ของอาจารย์ ดร.สุนทร ด้วย ซึ่งเป็น project ที่นำนักศึกษาชั้นปีที่สี่ไปฝึกงานที่ต่างประเทศนานถึงสามเดือน ดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะการที่นักศึกษาได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาที่มีการใช้ภาษาจริง จะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ได้มากกว่า แต่อาจารย์ สุนทรได้กล่าวว่า ผลของ project ครั้งนี้ยังเห็นผลทางภาษายังไม่ชัดเจนนัก แต่ความสามารถด้านความมั่นใจ เพิ่มขึ้น ในการเรียนรู้ในครั้งนี้สิ่งที่นักศึกษาได้จากมาเลเซีย คือได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม (Environment) ได้เรียนสำเนียงภาษา แต่สำหรับสิ่งที่เน้นคือการพูดสื่อสารให้ได้ โดยในการเรียนรู้การใช้ภาษาด้วยตนเอง (Self Knowledge learning) ได้เรียนรู้บริบทการใช้ภาษาในการท่องเที่ยว

            ดังนั้นดิฉันจึงสรุปประเด็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอบรมภาคเช้าของวันแรกในหัวข้อ Beyond language learning ได้ดังนี้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้มีการก้าวหน้าได้นั้นจะต้องมีการพัฒนาหลายๆ ด้านทั้งความคิด และการเรียนการสอนด้วย และนอกจากนี้การที่มีการสอนผ่าน สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์จริงๆ จะยิ่งทำให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น

Learning Log 12


(Out Class)
            การเรียนภาษาอังกฤษเราสามารถเรียนรู้ได้จากในห้องเรียนและนอกห้องเรียน การเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนอาจมีข้อจำกัดคือครูผู้สอนอาจไม่สมารถดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง ไม่ว่าจะในระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ดิฉันเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่อาจมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดนี้ ทำให้หารเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียน ไม่เข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างถ่องแท้ ทำให้เรียนไม่ทันเพื่อนบ้างบางครั้ง ฉะนั้นการที่เราไม่เข้าใจภาษาอังกฤษจากห้องเรียนเราก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองได้ การที่ดิฉันได้เรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ฉันกดดันน้อยลง และ มีความมั่นใจมากขึ้น หลายๆ สัปดาห์ที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากนอกห้องเรียน ทำให้ดิฉันมีความรู้เพิ่มขึ้น ได้ฝึกทักษะภาษาทั้ง 4 ทักษะ ทำให้การเรียนในห้องเรียนก็จะมีผลดีขึ้น เข้าใจง่ายมากขึ้นด้วย
            ในสัปดาห์นี้ดิฉันได้ฝึกทักษะการแปล จากเพลงที่ดิฉันชอบคือเพลง You Belong With Me ของ Taylor Swift ในขั้นแรกดิฉันได้ฟังก่อนประมาณ 3 รอบ แล้วหาเนื้อเพลงของเพลงนี้ แล้วหาคำศัพท์ในเนื้อเพลงที่ยังไม่รู้แล้วลองแปลในครั้งแรก ในครั้งแรกการแปลของดิฉันใช้ภาษาที่ไม่สละสลวย อ่านไม่เข้าใจเท่าไหรนัก ลองแปลครั้งต่อไป ลองใช้ภาษาให้สละสลวยขึ้นก็รู้สึกว่า เรื่องราวในเพลงนั้น เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนั้นมีแฟนแล้ว ซึ่งสวยและดูดีทุกอย่างทั้งการแต่งตัวและการใช้ชีวิต ซึ่งแตกต่างกับเธอ แต่เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่เธอหลงรัก เธอเฝ้าคอยตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นเธอบ้างทั้งอยู่เธอและเขาอยู่ใกล้กันมาก เขาไม่รู้ว่าเขาและเธอเข้ากันได้ทุกอย่าง เธอฝันและคิดถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาและเจอกับเธอผู้ที่เข้าใจทุกอย่าง และพวกเขาเข้ากันได้ดีสำหรับในการแปลในครั้งนี้ที่เลือกใช้เพลงนี้ เนื่องจาก เพลงนี้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเพราะการที่เราจะทำอะไรหรือเรียนรู้อะไรเราควรเรียนรู้จากการทำที่ง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับของการฝึกฝน

            You belong with me
 

You’re on the phone
With your girlfriend                               คุณถือสายคุยกับแฟน
She’s upset                                            เธออารมณ์เสีย
She’s going off about something              เธอโกรธคุณ
That you said                                         เธอไม่ตลกมุขของคุณ
She doesn’t get your humor                     เหมือนฉันเป็น
Like I do          
I’m in my room                                                 ฉันอยู่ในห้องของฉัน
It’s at typical Tuesday night                    มันคือคืนวันอังคารธรรมดา
I’m listening to the kind of music            ฉันกำลังฟังเพลงที่เธอ
She don’t like                                        ไม่ชอบฟัง
She’ll never know your story                   เธอไม่รู้เรื่องราวของคุณ
Like I do                                               เหมือนที่ฉันรู้
But she wears short skirts                        เธอใส่กระโปรงสั้น        
I wears T-shirts                                      แต่ฉันใส่เสื้อยืด
She’s cheer captain                                 เธอเป็นกัปตันเชียร์
And I’m on the bleachers                                    ฉันอยู่บนวัฒจรรย์
Dreaming about the day                          และฝันถึงวันนั้น
When you wake up and find                    เมื่อคุณตื่นขึ้นมา
That what you’re looking for                   แล้วพบว่าสิ่งที่คุณเองหา
Has been here the whole time                  ฉันอยู่ตรงนี้มานานแล้ว
*If you could see                                    ถ้าคุณได้เห็น
That I’m the one                                    ว่าฉันคือคนหนึ่งที่
Who understand you                               เข้าใจคุณ คนที่อยู่
Been here all along                                 ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น
So why can’t you see                              ทำไมคุณไม่เห็นว่า
You belong with me                               เราเหมาะสมกัน
Walking the streets with you                    เดินบนถนนกับคุณ
In you worn out jeans                             คุณใส่กางเกงยีนส์เก่าๆ
I can’t help thinking                               ฉันหยุดคิดไม่ได้
This is how it ought to be                        ว่ามันควรจะเป็นแบบนี้
Laughing on a park bench                       ฉันหัวเราะอยู่บนม้านั่ง
Hey, isn’t this easy?                                มันไม่ง่ายดายไม่ใช่เหรอ ?
And you’re got a smile                           คุณมีรอยยิ้ม ซึ่งมัน
That could light up this whole town         สว่างไปทั้งเมือง
I haven’t seen it in a while                      ฉันไม่เห็นมันมาสักพัก
Since she brought you down                    ตั้งแต่เธอทำให้คุณทุกข์
She says you’re fine                               เธอบอกว่าคุณดี
I know you better than that                      ฉันรู้ว่าคุณดีกว่านั้น
Hey whatchu doing                                 เฮ้! คุณทำอะไรอยู่
With a girl like that                                กับผู้หญิงคนหนึ่ง
She wear high heels                                เธอใส่รองเท้าส้นสูง
I wear sneakers                                      ฉันใส่ผ้าใบ
She’s cheer captain                                 เธอเป็นกับตันเชียร์
I’m on the bleachers                               ฉันอยู่บนอัฒจรรย์
Dreaming about the day                          กำลังฝันถึงวันนั้น
When you wake up and fine                    เมื่อเธอตื่นขึ้นมาและพบ
That what you’re looking for                   ว่าสิ่งที่คุณมองหาอยู่
Has been here the whole time                   อยู่ที่นี้นานแล้ว
            (*)
Oh, I remember                                     โอ้ ฉันจำได้
You driving to my house                         คุณขับรถมาที่บ้านฉัน
In the middle of the night                        ในกลางคืนของคืนนั้น
I’m the one who makes you laugh                        ฉันเป็นคนหนึ่งที่จะทำให้คุณหัวเราะได้
When you know you’re about to cry         ตอนที่คุณรู้ว่าคุณ
And you tell me about your dreams          จะร้องไห้ คุณบอก
Think I know where you belong              ฉันเกี่ยวกับฝันของคุณ
Think I know it’s with me                       คิดว่าฉันรู้ว่ามันคือฉัน
Can’t you see that I’m the one                 คุณไม่เห็นว่าฉันคือคนหนึ่ง?
Who understands                                    คนที่เข้าใจคุณ?
Been here all along                                 ที่อยู่กับคุณมาตั้งแต่ต้น
So why can’t you see?                            แล้วทำไมคุณถึงไม่เห็น
You belong with me                               ว่าเราเหมาะสมกัน
Have you ever thought                            ไม่เคยคิดบ้างเลยหรือว่า?
Just maybe                                             แค่บางที
You belong with me                               คุณกับฉันเข้ากันได้


            ในการฝึกครั้งนี้นอกจากจะได้ฝึกฝนการแปลเพลงแล้ว ดิฉันยังได้สังเกตพบลักษณะการใช้ Tense ต่างๆ ในเนื้อเพลงอีกด้วย ในเพลง

Learning Log 11

Learning Log 11
(Out class)
            ในสังคมปัจจุบัน การเรียนภาษาอังกฤษมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาข้อมูล ความรู้ และการประกอบอาชีพ ภาษาจะเป็นส่วนช่วยพัฒนาศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของเรา ในการเรียนทักษะต่างๆ ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่สองให้มีประสิทธิภาพ จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการศึกษาเข้าใจทางภาษาให้ดีก่อน และนำความรู้ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในวิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วย ในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้น เราต้องมีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งเป็นทักษะในการแสดงออกทางภาษา ซึ่งในทักษะทั้ง 4 นี้ มีความสำคัญ สำหรับการเรียนรู้ แต่สำหรับช่วงวัยของเราที่อยู่ในวัยแห่งการเรียนรู้นี้ ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญ และจะต้องเน้นเป็นอย่างมาก
            การอ่านภาษาอังกฤษเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เวลาอ่านภาษาอังกฤษ คือ จะอ่านแล้วไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์ในสิ่งที่เรากำลังอ่าน จึงทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าการอ่านภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ยาก น่าเบื่อ และทำให้เราไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ดังนั้นในการอ่านภาษาอังกฤษมีโอกาสได้ใช้มากกว่าทักษะอื่นๆ เนื่องจากเอกสาร สื่อ สิ่งพิมพ์ ต่างๆ ทั้งตำรา หรือแม้แต่ประกาศโฆษณาต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น การอ่านภาษาอังกฤษจึงมากขึ้น เราจึงควรพัฒนาและปรับปรุงตัวเองในด้านการอ่านภาษาอังกฤษ วิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้น และจะนำไปสู่ทักษะด้านอื่นด้วย
เพลงจะทำให้เราสนุกสนานไปกับเพลงพร้อมไปกับภาษาอังกฤษไปด้วย เราอาจเลือกเพลงที่เราชอบ สำหรับดิฉันชอบเพลงสากลเก่าๆ บางเพลงจะมีทำนองที่ไพเราะ น่าฟัง ทำให้เรามีสมมุติอยู่กับเพลงได้ สำหรับสัปดาห์นี้ดิฉันได้เรียนรู้คำศัพท์จากเพลง 3 เพลงด้วยกัน เพลงแรกคือเพลง Because of you เพลงที่สองเพลง Until You และสุดท้ายคือเพลง If that’s OK With you
            Because of you เป็นเพลงที่น่าฟังมาก ขับร้องโดย Kelly Clarkson แต่ดิฉันมักแปลหรือฟังความหมายของเพลงไม่ได้ไม่รู้เรื่องเลยนัก เพลงนี้มาฝึกจำคำศัพท์ คำศัพท์บางคำดิฉันคุ้นเคยมาก แต่มักจะจำความหมายไม่ได้ ดิฉันเริ่มฝึกจากการฟังเพลงให้เข้าหูก่อน หลังจากนั้นจะหาเนื้อเพลงมาอ่าน แล้วเมื่อเจอคำศัพท์คำไหนที่ไม่รู้ จะจดเอาไว้ในสมุด จดจากคำที่ไม่รู้ไว้ แล้วจะมาเปิด Dictionary หาความหมายทุกๆ ความหมายที่คำนั้นจะแปลได้ แล้วจดไว้ ในเพลง Because of you ดิฉันได้รู้คำศัพท์หลากหลายคำดิฉันจะยกตัวอย่าง 10 คำที่ใหม่สำหรับฉันจริงๆ เช่น
-          Mistake (n. /v.)        =  ความผิดพลาด, เข้าใจผิด, หลง, ผิดพลาด
-          Misery (n.)              = ความทุกข์ยาก, ความสาหัส
-          Sidewalk (n.)           = ทางเท้า, บาทวิถี, ทางข้างถนน
-          Trust (v. /n.)                        = ไว้วางใจ, เชื่อใจ, ผู้ได้รับความไว้วางใจ
-          Force (adj.)             = โดยถูกบังคับ, ฝื่น, แกล้ง, หักโหม
-          Lead (adj.)              = ผอม, ซูบซีด, ไม่สมบูรณ์
-          Damn (v.)               = แช่ง, สาป, ประณาม, ตำหนิ
-          Ashamed (adj.)        = อับอาย, อดสู, ละอายใจ
-          Possibly (adv.)         = อาจเป็นไปได้, สามารถ, พอจะเป็นไปได้
-          Empty (adj.)                        = ว่าง, ไม่มีคนอยู่, ว่างเปล่า
เพลงที่สองเพลง Until you เพลงนี้เป็นเพลงที่ดิฉันฟังบ่อยมาก จำทำนองได้สามารถร้องตามได้ในบางช่วงของเพลงแต่จะมีคำศัพท์บางคำที่ยังไม่รู้ เช่น
-          Addicted (v.)           = ติดยา
       (adj.)           = ติดยาเสพติด
            เพลงสุดท้ายที่ได้ฝึกคำศัพท์ของสัปดาห์คือเพลง If that’s OK with you เพลงที่มีทำนองสนุกสนานทำให้ดิฉันชอบมาก เพลงนี้ยังทำให้ดิฉันได้ฝึกทักษะ การฟังอีกด้วย เนื่องจากมีจังหวะค่อยข้างเร็ว ต้องมีสมาธิในการฟังอย่างมาก ช่วยฝึกการฟังไปอีกทางหนึ่ง สำหรับเพลงนี้คำศัพท์ที่ดิฉันไม่รู้ แทบไม่มีเลย เลยนำเพลงนี้มาฝึกทักษะการฟังเป็นหลังเสริมทักษะด้วย โดยการฟังเพลงแล้วพยายามเขียนเนื้อเพลงของเพลงนี้ไว้ จดไว้แล้วยังสามารถนำมาฝึกทักษะด้านการแปลไปด้วยอีกทางหนึ่ง
            นอกจากนี้จากเพลงทั้งสามเพลง ดิฉันสังเกตพบว่า จะมีการใช้คำย่อที่ดิฉันได้ศึกษาเรียนรู้ไปในสัปดาห์ที่แล้วเยอะมาก ทั้งคำว่า wanna (want to) และ gonna (going to) ดิฉันจึงเกิดข้อสงสัยที่ว่าทำไมถึงไม่ใช้คำเต็มๆ ไปเลย ง่ายต่อการแปลหว่า จึงค้นหาคำตอบ จึงได้รู้ว่าการใช้ wanna หรือ gonna เพื่อให้การพูดลื่นไหลมากขึ้น และง่ายในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น
            การเรียนรู้ของเรานั้นเป็นการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง คนเราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ฉะนั้นในช่วงวัยที่เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่เราก็ควรที่จะศึกษาหาความรู้ให้เต็มที่ เพิ่มพูนความสามารถ ศักยภาพของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ยิ่งเรารู้และเก่งภาษามากเท่าไร อนาคตของเราก็จะดีมากขึ้น ทั้งการศึกษา อาชีพและการใช้ชีวิตของเราด้วย
            นอกจากนี้การฝึกทักษะการฟังและการใช้คำศัพท์ และเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ แล้วในสัปดาห์นี้ยังได้ดูหนังเกี่ยวกับ เทศกาลคริสต์มาสโดยอาจารย์ประจำวิชาภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาเป็นคนเปิดหนังให้ดู หนังจะเป็นหนังที่ไม่พากย์ไทย แต่จะมี sub ภาษาอังกฤษให้ ทำให้เราได้ฝึกสำเนียงภาษาของเจ้าของภาษาจากการฟังและยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาไปอีกทางหนึ่งด้วย



Learning Log 10

(In class)
            จากการเรียนรู้ในห้องเรียนในสัปดาห์นี้ได้เรียนรู้เรื่อง Adverb Clause of Time  เนื่องจากในสัปดาห์ก่อนหน้าหลายๆ สัปดาห์ ได้เรียนรู้ Clause ประเภทอื่นๆ กันไปแล้ว และได้รู้ว่า Clause คือ อนุประโยค หรือประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยาย main clause ที่อยู่ติดกัน อาจทำหน้าที่เป็น Adjective, noun หรือ Adverb ก็ได้ สำหรับอนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็น Adverb นั้นเรียกว่า Adverb Clause นั่นเอง Adverb Clause จะทำหน้าที่เหมือน Adverb ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์ Adverb Clause จะมีหลายประเภทสามารถแบ่งออกเป็น 10 ประเภทคือ Adverb Clause of Manner, Adverb Clause of Place, Adverb Clause of Time, Adverb Clause of Reason, Adverb Clause of Result, Adverb Clause of purpose, Adverb Clause of Concession, Adverb Clause of Comparison, Adverb Clause of Reservation, และ Adverb Clause of Condition. สำหรับทั้ง 10 ประเภทที่เรามักพบบ่อยที่สุดคือ Adverb Clause of Condition.
            Adverb Clause of Condition เป็นอนุประโยคที่นำหน้าด้วยคำเชื่อมที่แสดงถึงเวลา เช่น When, After, Before, since, until, while, as soon as, whenever…ฯ ตัวอย่างประโยคเช่น
·       When you have finished you work, you may go home.
·       He came after night had fallen.
·       Before you go bring me some fallen.
จะเห็นได้ว่า ในตัวอย่างประโยค Adverb Clause จะมีคำเชื่อม When, after, และ before นำหน้าโดย Adverb Clause จะไปขยายกริยา abject หรือ adverb  ในประโยค main clause นอกจากนี้ adverb clause เราสามารถลดรูปของประโยคได้ โดย Adverb Clause of time สามารถลดรูปได้หลายรูปแบบ และสามารถสังเกตการณ์ลดรูปได้อย่างเห็นชัดเจน
            การลดรูป Adverb Clause of Time สามารถลดรูปได้เมื่อประธานของ Adverb Clause และ main clause เป็นตัวเดียวกันถ้าประธานเป็นคนละตัวจะไม่สามารถลดรูปได้ เช่น
            While he was getting out of the bus, he tripped and fell.
            ในประโยคนี้ประธานใน Adverb Clause และ main clause เป็นตัวเดียวกัน เราสามารถลดรูปได้เป็น
                        While getting out of the bus, he tripped and fell.
สังเกตว่า จะตัดประธานและ V.to be ใน Adv. Clause ไปนอกจากนี้ยังสามารถละ คำเชื่อม ได้ด้วย
                        Getting out of the bus, he tripped and fell.
แต่ถ้ากระทำใน time clause เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว จะไม่สามารถลดรูปได้ เช่น
He has lived since he was born.
He has lived being born.
หมายเหตุ * ถ้าประธานใน time clause เป็นตัวเดียวกับ pronoun ใน main clause subject และ pronoun สามารถสลับที่กันได้ก่อนการลดรูป เช่น
After water is heated, it becomes hot.
                  Subject

            After it is heated, water become hot.
>>>  After being heading, water became hot.


ข้อสังเกต
            -  Before, while, when, after ….

อาจจะลดรูปด้วยหรือไม่ก็ได้หรือจะไม่ลดก็ได้
-          เมื่อลดรูปใน time clause จะเปลี่ยน V เป็น V. + ing
จากข้อสังเกต time clause ที่ขึ้นต้นด้วย After, Before และ Since จะสรุปมาเป็นกฎในการลดรูปได้ คือ ลดโดยการตัดประธานใน time clause ถ้าใน main cl. และ time cl. ประธานเป็น คน หรือ สิ่งเดียวกัน ต่อไปหากมีกริยาช่วยใน time clause ให้ตัดแล้วเปลี่ยน กริยาหลักเป็น V. –ing แต่ถ้าเป็น time clause เป็น present or past perfect tense แล้วจะมีกริยาช่วยเป็น have, has และ had ให้เปลี่ยนเป็น having แล้วตามด้วย past participle หรือ V. ช่อง 3 หรือถ้าหาก time clause อยู่ในรูปของ passive จะเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ Being + past participle (V.3)
นอกจากนี้ Adverb clause ประเภทอื่นก็สามารถลดรูปได้ในลักษณะที่คล้ายกับ Adverb clause of time นั่นคือ Adverb clause of reason/cause, Adverb clause of concession/ contrast, และ Adverb clause of condition คือ สามารถลดรู)ได้เมื่อประธานของ Adverb clause และ main clause เป็นตัวเดียวกัน ใช้ present participle phrase  (V. –ing) ในกรณีที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยา และใช้ past participial (V.ed) ในกรณีที่เป็น passive ในการลดรูป Adverb clause of reason/cause ต้องละคำนำหน้าและวาง V-ing ไว้ต้นประโยคเสมอ เช่น
Since he worked under the Shangrila Group worldwide, he oversaw 30,000 employees.
>>> Working under the Shamgrila Group world guide, he oversaw 30,000 employees.
ในการลดรูปของ Adverb clause of concession และ Adverb clause of condition ก็เช่นกัน ลดรูปได้ถ้าประธานของ Adverb clause และ main clause เป็นตัวเดียวกัน โดย V ใน Adverb clause มักจะอยู่ในรูปของ passive ให้เก็บคำเชื่อมไว้ *(การลดรูปของ 2 ประเภทนี้ใช้อย่างไม่เป็นทางการ)* เช่น
Although the soccer team was defeated 3-0, the players did not seem to surrender. 
>>> Although defeated 3-0, the players did not seem to surrender.

            การลดรูปนั้นเพื่อให้ประโยคนั้นๆ สั้นกระชับ แต่ในการลดรูปจะต้องมีหลักการและเงื่อนไขในการลดรูปด้วย สำหรับ Adverb cause นั้นก็เช่นกันสามารถลดรูปให้สั้นกระชับได้ โดยมีหลักการในการลดรูป คือ สามารถละคำเชื่อมได้ในบางกรณี และถ้าประธานเป็นตัวเดียวกัน ก็สามารถลดรูปได้โดยจะตัด Subject และ V.to be ใน clause ไป หรือถ้าใน Clause นั้นอยู่ในรูปของ passive ให้ตัด Subject แต่ V.to be และคงคำเชื่อมและ V. ตัวเดิมไว้ หรือ ถ้าอยู่ในรูป Active ปกติ คือให้ตัด V.to be ใน Adv. Clause ที่คงไว้คือ V-ing ส่วนคำเชื่อมจะละหรือคงเดิมไว้ก็ได้ สำหรับ Adv. Clause ประเภทอื่นหลักการลดรูปก็จะมีหลักการคล้ายๆ กัน ในการนำไปใช้เราก็ควรที่จะนำไปใช้ให้ถูกต้องและการศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้ด้วย

(Out class)
                เนื่องด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่ทันสมัยความรู้และข้อมูลต่างๆ แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ และสังคมภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศภาษาหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดต่อสื่อสารและศึกษาหาข้อมูลความรู้ ตลอดจนการประกอบอาชีพ ในยุคโลกไร้พรมแดน จึงทำให้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่จัดว่าเป็นภาษาที่ในหลายๆ ประเทศให้การยอมรับในการสื่อสารที่มีบทบาทมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านศึกษาที่จำเป็นต้องมีการค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ทั้งในรูปของหนังสือ วารสารต่างๆ ตำรา และตลอดจนข้อมูลที่มีอยู่ในทางอินเตอร์เน็ตที่เป็นภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จึงส่งผลให้คนไทยมีโอกาสพบปะกับชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารทำให้ภาษาอังกฤษมีบทบาทเป็นภาษานานาชาติมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องที่นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าข้อมูลและประกอบอาชีพในอนาคต ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษไดให้ความสำคัญกับทักษะทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ ทักษะการพูด ทักษะการฟัง ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน แต่เนื่องด้วยคนไทยมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ให้อยู่ในระดับที่ดีมากขึ้น
            การพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ให้อยู่ในระดับที่ดีมากขึ้นเราสามารถฝึกฝนได้จากหลายๆวิธีการไม่ว่าจะเป็นจากการอ่าน เมื่อเราอ่านหนังสือหรือหนังสือพิมพ์ วารสารต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษจะทำให้ได้ฝึกฝนทักษะทางด้านการอ่านของเราได้เป็นอย่างดี จากการฟัง ฟังสื่อต่างๆที่มีอยู่ในรอบๆตัวเราไม่ว่าจะเป็นข่าวต่างๆหรือแม้กระทั้งการฟังเพลงจากการ์ตูนต่างๆหรืเพลงสากลที่สามารถหาฟังได้อย่างง่ายและสะดวกเป็นอย่างมากนอกจากนี้ผลที่ได้จากการฟังเพลงสากลต่างๆ หรือการ์ตูนต่างๆยัง
ช่วยพัฒนาศักยภาพด้านทักษะการพูดได้อีกด้วย ทักษะด้านอื่นๆ ก็เช่นกันมีความสำคัญไม่ต่างกัน ในฐานะที่เราเป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์ที่จำเป็นจะต้องมีความรู้ความสามารถทางด้านภาษาเป็นอย่างมาก ที่จะต้องนำความรู้ต่างๆไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนผู้เป็นศิษย์ของเราในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำนั่นก็คือฝึกฝน หาความรู้เพิ่มเติมทบทวนความรู้เดิมอยู่เสมอนั่นเอง
            สำหรับสัปดาห์นี้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดด้วยเพลง ที่มีชื่อว่าFlashlight ซึ่งเป็นเพลงที่ขับร้องโดย Jessie J นักร้องผู้เป็นขวัญใจคนหนึ่งของดิฉัน ดิฉันเริ่มต้นฝึกโดยการเริ่มฟังจังหวะและทำนองของเพลงก่อน เพื่อให้จำทำนองของเพลงได้ก่อน เมื่อเริ่มจำทำนองได้บางส่วนแล้ว ดิฉันได้ พยายามฟังเนื้อเพลง และร้องตามบางประโยคที่ดิฉันฟังพอเข้าใจ และสิ่งที่ดิฉันพอฟังจับใจความประโยคได้ก็คือ
When tomorrow comes
 …..be on my own
……………………
………..I don’t know
 When tomorrow comes
Tomorrow comes
Tomorrow comes
เป็นช่วงต้นของเพลง หลังจากนั้นดิฉัน พยายามฟังและจดจำเพื่อหาของเพลงไปเรื่อยๆบางครั้งฟังโดยที่กำลังทำสิ่งอื่นบ้าง ดิฉันจะไม่จดจ่อกับเพลงมากขึ้นไปเพราะอาจจะทำให้เบื่อเร็วขึ้นแต่จะฟังทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง จนในที่สุดดิฉันสามารถจำเนื้อเพลงได้เกือบจนหมดและสามารถร้องตามได้ หลังจากนั้นดิฉันจะหาวีดีโอที่มีเนื้อเพลงมาให้เพื่อฝึกร้องตามไปด้วย และพยายามดูปากของนักร้องเพื่อสังเกตลักษณะการออกเสียงคำแต่ละคำและออกเสียงตามจนรู้สึกว่าร้องเพลงนี้ได้คล่องมากขึ้นแล้วนอกจากการฝึกฟัง ฝึกร้องแล้วดิฉันยังฝึกทักษะการแปลของตัวเองด้วย โดยการแปลเนื้อเพลง โดยการหาเนื้อเพลงเพลงนี้มาเพื่อพยายามฝึกฝนช่วงต้นของเพลง ที่ว่า
When tomorrow comes
 I’ll be on my own
Feeling   frightened up
The    Fling that   I don’t know
When tomorrow comes
Tomorrow   Comes
Tomorrow   Comes
ดิฉันแปลได้ว่า   เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง
                        ฉันจะอยู่ด้วยตัวเอง
                         ฉันรู้สึกกลัว  ในสิ่งที่ฉันไม่รู้
                          เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง
                                                            And   though   the   road    is   long
                                                 I   look   up    to   the    sky
                                                 In  the  dark  I  found  I  stop  and  I  won’t  fly
                                                 And   I   sing   along,
                                                 I    sing   along,   I   sing   along
                           ถึงแม้ว่าถนนนั้นจะยาวไกล
                    ฉันมองขึ้นไปยังท้องฟ้า
                     ในความมืด ฉันเจอ  ฉันหยุดและไม่โพยขึ้น
                      และฉันร้องเพลง
I   got   all   I   need   when    I   got   you   and   I
I   look   around    me,   and    see   sweet    life
I’m   stuck   in   the    dark   but    you’re   my   flash   light.
You’re   getting ‘me   ,   getting’    me,     through   the   night
Can’t   stop   my   heart   when    you   shin in   ‘in    my   eyes
Can’t   lic   it’s   a   sweet   life
I’m   stuck  in  the  dark  but  you ‘re  my  flashlight
You   getting   me   getting   me   through   the   night
Cause   you’re   my   flash    light
You’re   my   flash   light   ,    you’re    my     flash      light
ฉันได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันต้องการเมื่อมีเธอและฉัน  ฉันมองไปรอบๆตัวฉัน
และเห็นชีวิตที่แสนหวาน ฉันติดอยู่ในความมืด แต่คุณคือแสงสว่างให้ฉันให้ฉันผ่านคืนนั้นได้ หัวใจของฉันไม่สามารถหยุดเต้นได้เมื่อคุณส่องแสงอยู่ในตาของฉัน ฉันโกหกไม่ได้มันคือชีวิตแสนหวานของฉันและเนื่องด้วยเพลงนี้มีจังหวะที่ไพเราะน่าฟัง ทำให้ฉันสามารถจดจำได้ง่ายและถึงแม้ว่าจะฟังทุกวันดิฉันก็ไม่เบื่อเลย และการแปลเนื้อเพลงยังทำให้ดิฉันได้ฝึกฝนด้านการแปลตัวเองด้วย
            จากการที่ได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษจากเพลง flash light นี้ทำให้ดิฉันพัฒนาการด้านการฟังมากขึ้น สามารถฟังเพลงต่างๆซึ่งเป็นเพลงสากลได้มากขึ้น คือ สามารถฟังออกว่าเค้าร้องว่าอย่างไร ได้มากขึ้น และยังสามารถพัฒนาทักษะด้านการออกเสียงสำเนียงภาษาอังกฤษได้ด้วย จากเมื่อก่อนดิฉันไม่กล้า และไม่มีความมั่นใจในการออกเสียงเลขและจากการใช้วิธีการฝึกโดยการร้องเพลงสากลต่างๆทำให้การออกเสียงดีขึ้น และกล้าที่จะออกเสียงมากขึ้นไปด้วย และในครั้งต่อไปดิฉันจะลองเพิ่มระดับความยากของเพลงให้ไประดับที่อยากกว่าเดิม เพื่อเป็นการพัฒนาตัวเองให้อยู่ในระดับที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
            ในการฟังเพลง บ่อยครั้งที่มักจะพบคำบางคำที่เราไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร อย่างเช่น Gonna, Wanna ซึ่งเป็นคำที่เราพบบ่อยมากในเนื้อเพลงสากล ซึ่งมันทำให้ดิฉันสงสัยทุกๆ ครั้ง ว่ามันมีอยู่ในภาษาอังกฤษด้วยหรือไม่จึงได้ค้นหาข้อมูล และความรู้เพิ่มเติม และได้รู้ว่า คำเหล่านี้เป็นคำย่อและมักจะไม่ใช้ในการเป็นภาษาเขียน ส่วนมากเป็นภาษาพูดซึ่งจะพบบ่อยในเพลงต่างๆ ภาพยนตร์และการสนทนาต่างๆ จะมีคำว่า
            Wanna/Gonna/Gotta/Gotcha/Dunno/Lemme/Gimme/Olutta/Kinda/I’mma/Hafta
“Wanna” ย่อมาจาก want to หรือ want a แปลว่า ต้องการทำบางสิ่งหรือต้องการบางอย่าง เช่น
-          I wanna go. (I want to go)
ฉันอยากไป
-          Wanna drink? (Do you want a drink?)
คุณอยากดื่มอะไรไหม
“Gonna” ย่อมาจาก going to หมายถึง กำลังจะทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น
-          What’s she gonna do now?
(What is she going to do now?)
นั่นเธอกำลังจะทำอะไร
“Gotta” ย่อมากจาก got ta, have got to หรือ have got a
แปลว่า ต้องทำบางสิ่งบางอย่างหรือมีบางสิ่งบางอย่าง เช่น
-          She’s gotta go. (She has got to go.)
เธอต้องไปแล้ว
-          One day I gotta be rich!
สักวันฉันต้องรวย
“Gotoha” ย่อมาจาก I’ve get you แปลว่า จับได้แล้ว ชนะแล้วหรือฉันเข้าใจที่คุณพูดแล้ว
“Dunno” ย่อมาจาก I don’t know แปลว่า ฉันไม่รู้
“Lemme” ย่อมาจาก Let me แปลว่าให้ฉัน…., ปล่อยฉัน…..
เช่น
-          Lemme call you back. (Let me call you back)
ให้ฉันโทรกลับละกัน
-          Lemme go! (Let me go!)
ปล่อยฉันไปนะ
“Gimme” ย่อมาจาก Give me แปลว่า ขอบางสิ่งบางอย่างแก่ฉัน เช่น
-          Gimme back my bike! (Give me back my bike!)
ขอจักรยานฉันคืนเถอะ!
-          Can you gimme a hand? (Can you give me a hand?)
ขอแรงหน่อยได้ไหม?
“Outta” ย่อมาจาก out of แปลว่า หมด เช่น
-          Get outta here!
ออกไปจากที่นี่ซะ
-          We’re running outta gas.
แก๊สกำลังหมด
“Kinda” ย่อมาจากคำว่า Kind of แปลว่า ค่อนข้างจะ เช่น
-          My boyfriend is Kinda FAT!
แฟนฉันค่อนข้างอ้วน
-          I’m Kinda rich.
ฉันค่อนข้างจะรวย
“I’mma” ย่อมาจากคำว่า I’am going to จะมีความคล้ายกับ gonna แนะนำให้ใช้ gonna มากกว่า
“Hafla” ย่อมาจากคำว่า Have to เช่น
-          I hafta do homework.
ฉันต้องทำการบ้าน
            คำเหล่านี้มักจะใช้ในภาษาพูด ไม่นิยมนำมาเขียน และจะพบบ่อยในเพลงต่างๆ และภาพยนตร์ เมื่อเราฟังเพลงที่มีคำเหล่านี้เราก็สามารถเข้าใจแล้วว่า ในประโยคของเพลงนั้นๆ หมายถึงอะไร
สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้
            ภาษาอังกฤษไม่ว่าจะในด้านใดทั้ง การฟัง อ่าน เขียน และพูด มีความจำเป็นที่คนไทยจะต้องฝึกฝน วิธีการฝึกฝนมีหลายวิธี แต่วิธีที่ดิฉันชอบและง่ายมากก็คือการฟังเพลง การฟังเพลงนอกจากจะฝึกทักษะ การฟัง แล้วนั้น ยังสามารถฝึกทักษะการพูดได้อีกด้วย นอกจากนี้การฟังเพลงทำให้เราได้ความรู้ในการใช้คำย่อในภาษาอังกฤษที่มักใช้ในภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน ซึ่งอาจเป็นความรู้ใหม่ที่เราอาจมองข้ามไป