โครงสร้าง
หรือ structure เป็นสิ่งสำคัญมากในการเริยนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา
เราพูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้และเข้าใจโครงสร้างของภาษา
1. ชนิดของคำและ
ประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำ(past of
speech) เป็นสิ่งสำคัญโนโครงสร้าง เพราะเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการ
สื่อสารประโยคจะถูก
ไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิด ของคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์ ดังนั้น
เมื่อจะสร้างประโยค จึงต้องคำนึงถึงชนิดของคำด้วยประเภททางไวยากรณ์(grammatical
category) หมายถึงลักษณะสำคัญใน ไวยากรณ์ของภาโดภาษาหนึ่ง
ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิณของคำ
เช่นในภาษาอังกฤษจะบังคับให้ระบุเวลาของเหตุการณ์ให้ชัดเจนว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต
ส่วนภาษาไทยไม่มีการบังคับ
1.1
คำนาม ประเภททางไวยากรณ์เป็นลักษณะสำคัญหรือมิตัวบ่งชี้ในภาษาอังกฤษแต่ไม่สำคัญในภาษาไทย
เช่น บุรุษและ พจน์
1.1.1 บุรุษ (person) ภาษาอังกฤษแยกรูปสรรพนามตามบุรุษทิ่1,2
และ 3 อย่างเด่นชัดและมีการเติม -s ที่กริยาของประธานบุรุษที่3
เอกพจน์
แต่สำหรับภาษาไทย
1.1.2 พจน์ (number) ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้พจน์โดยใช้ Determiner
และการเติมหน่วยท้ายศัพท์-s
แต่ในภาษาไทยไม่การบ่งชี้เช่นนั้น
ตัวอย่างเช่น
Cats are
beautiful animals.
I
like elephants.
1.2.3 การก(case) คือประเภททางไวยากรณ์ของคำนามนั้นเล่นบทบาทอะไร ในภาษาอังกฤษ การากของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ
ในภาษาไทยไม่การเติมหน่วยคำท้ายคำเพื่อการแสดงการก แต่ใช้การเรียงคำ เหมือนกับการก
ประธานและการากกรรมในภาษาอังกฤษ ส่วนการากของภาษาไทยมีการเรียงคำต่างจากภาษาอังกฤษ
เช่น เราพูดว่า"หนังสือครู"ไม่ใช่ "ครูหนังสือ"
1.1.4 นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and uncountable
nouns)
คำนามในภาษาอังกฤษและภาษาไทยในเรื่องการแบ่งเป็น
นามนับได้ แและนับไม่ได้ โดยการใช้ตัวกำหนด a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์
และเติม-s ที่นามนับได้พหุพจน์ ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an และไม่เติม-s
ในภาษาไทยคำนามนับได้
เพราะ เรามีลักษณะนามบอกจำนวนทุกสิ่งได้
1.1.5 ความชี้เฉพาะ(Definiteness)
การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
ผู้พูดภาษาอังกฤษทุกคนจะเรียนรุ้ลักษณะนี้ตั้งแต่เริ่มหัดพูดภาษาอังกฤษ เครื่องหมายที่บ่งชี้ความชี้เฉพาะ
คือตัวกำหนด ได้แก่ a/an บ่งชี้ความไม่ชี้เฉพาะ(indefiniteness)
และ the ซึ่งบ่งชี้ความชี้เฉพาะ(Definiteness)
1.2 คำกริยา
คำกริยานับได้ว่าเป็นหัวใจของประโยค
การใช้กริยาซับซ้อน
กว่าคำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท
1.2.1 กาล(tense)
คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดง
กาลเสมอว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต
ผู้พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้กริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาแยกความแตกต่างระหว่างเหตูการณ์ในอดีตกับไม่ใช่อดีต
1.2.2 การณ์ลักษณะ(aspect)
หมายถึง
ลักษณะของการกระทำ หรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษ การณ์ลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
การณ์ลักษณะต่อเนื่อง หรือ การณ์ลักษณะดำเนินอยู่(continuous aspect)
ซึ่งแสดงโดย verb to
be +present participle(-ing) และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น (perfective
aspect) ซึ่งเเปลโดย Verb to have+past
participle ในภาษาไทย เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องหรือกำลังดำเนินอยู่เเสดงด้วยคำว่า
"กำลัง"หรือ "อยู่" หรือใช้ทั้งคู่ ถ้าประโยคมีกริยาหลายตัว กาลของกริยาเหล่านั้นต้องสัมพันธ์กันในเรื่องเวลา
1.2.3
มาลา (mood)
มาลา
เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับคำกริยา มีหน้าที่เเสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร
ในภาษาไทยคำกริยาไม่มีการเเสดงมาลา เเต่ในภาษาอังกฤษมี
มาลาในภาษาอังกฤษเเสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยา
หรืออาจเเสดงโดยคำช่วยกริยาที่เรียกว่า modal auxiliaries เช่น
may ,might,can,could,should เป็นต้น
1.2.4 วาจก (voice)
วาจก
เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่เเสดงโดยคำกริยา
ว่าประธานเป็นผู้กระทำหรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ในภาษาไทย
คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อเเสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก
1.2.5 กริยาเเท้กับกริยาไม่เเท้ (finite vs. non-finite)
คำกริยาในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยมากในเรื่องการเเยกกริยาเเท้ออกจากกริยาไม่แท้กล่าวคือในหนึ่งประโยคเดี่ยวจะมีกริยาแท้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ในภาษาไทยไม่มีความเเตกต่างระหว่างกริยาเเท้
กับ กริยาไม่เเท้ กล่าวคือกริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการเเสดงรูปที่ต่างกัน
1.3 ชนิดของคำประเภทอื่น
คำที่เป็นปัญหาในตัวศัพท์เอง
ได้เเก่ คำบุพบท ซึ่งผู้เเปลต้องมั่นสังเกตบุพบทที่ใช้ต่างกันในสองภาษา
นอกจากนั้นคำบุพบทในภาษาอังกฤษสมารถห้อยท้ายวลีหรือประโยคได้เเต่ภาษาไทยไม่มีโครงสร้างเเบบนี้
คำ adjective ในภาษาอังกฤษต้องใช้กับ verb to
be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคเเสดงของประโยค คำอีกประเภทที่ไม่ขนานกัน
ระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษ ได้เเก่คำลงท้าย เช่น ค่ะ ครับ ซิ เป็นต้น คำหล่าวนี้มีความหมายละเอียดอ่อนเเละในภาษาอังกฤษไม่มีคำประเภทนี้
2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง
construction หมายถึง หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง
เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่ต่างกัน
ดังนี้
2.1 หน่วยสร้างนามวลี : ตัวกำหนด (determiner)
+ นาม (อังกฤษ) vs. นาม (ไทย)
นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ
ถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้เเละเป็นเอกภพ(ยกเว้นนามที่เป็นชื่อเฉพาะเเละสรรพนาม)
เเต่ในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนดมีเเต่คำบ่งชี้ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกลเเละเฉพาะเจาะจงเราอาจเรียกคำเหล่านี้ว่าตัวกำหนด
ดังนั้น
เรามักพบเสมอว่าในขณะที่นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดปรากฏเเต่ภาษาไทยไม่มี
2.2
หน่วยสร้างนามวลี : ส่วนขยาย + ส่วนหลัก
(อังกฤษ) vs. ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (ไทย)
ในหน่วยสร้างนามวลี
ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลักส่วนภาษาไทยตรงกันข้ามเวลาเเปลจากอังกฤษเป็นไทน
ถ้าส่วนขยายไม่ยาวเราเพียงเเต่ยายที่ส่วนขยายจากหน้าไปหลัง
2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก
(passive constructions)
ในภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจกมีรูปเเบบเด่ดชัดเเหละมีเเบบเดียวคือประธาน/ผู้รับการกระทำ+กริยา
verb to be + past participle +(by + นามวลี/ผู้กระทำ)
2.4
หน่วยสร้างประโยคเน้น supject (อังกฤษ)
กับประโยคเน้น topic(ไทย)
ภาษาไทยได้ชื่อว่าเน้น topic ตรงข้ามกับภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นภาษาที่เน้น subjict
2.5
หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาไทย(serial verb constructions)
หน่วยสร้างคำในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษเเละมักเป็นปัญหาในการเเปลได้เเก่หน่วยสร้างกริยาเรียง
ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งเเต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรขั้นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น