วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 1



(in class)

               จากการเรียนรู้ในห้องเรียน สิ่งที่ได้เรียนรุ้นั้นหลากหลายทั้งการปฏิบัติตัวในห้องเรียน และความรู้ด้านการแปล การแปลคำ ประโยค การแปล Tense และยังมีการทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติม
ทฤษฎีการเรียนรู้ภาษา I+1 = Comprehensible Input คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับนักเรียนเพื่อโดยใช้ความรู้เดิมของนักเรียนเอง  ได้เรียนรู้การคิดอย่างเป็นระบบ input process product และ outcome 
การเรียนรู้ต้องเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเรียนรู้จากตัวเราเอง ตรวจสอบตัวเอง ( Metacognition ) นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เรื่องการแปล หลักการแปลนั้นคือต้อง สั้น  กระชับ  รัดกุม และตรงเนื้อหาหรือความหมาย และสิ่งที่ต้องเน้น คือ ความถูกต้อง(Accuracy) และความคล่องแคล่ว(Fluency) และอีกประการที่สำคัญของการแปลคือ การแปล Tense  คือต้องแปลให้ตรงตามTense นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น
    Orenges grow in warm climate.(present simple)
      ส้มเจริญเติบโตในอากาศอบอุ่น
    He has lived in Nakhon Si Thammarat for a year. (past perfect)
       เขาอยู่นครศรีธรรมราชมาหนึ่งปีแล้ว

                จากการเรียนรู้ในห้องเรียนในครั้งนี้ได้เรียนรู้ต่างๆหลากหลายทั้เรื่องการแปล และการเรียนรู้ภาษา  ที่สำคัญคือได้เรียนรู้วิธีการปฏิบัติตนในห้องเรียน ทำให้เราสามารถ มีความรู้และปฏิบัติตนดีขึ้นกลายเป็นคนเก่งในด้านการแปลและภาษา




(out class)

            จากการหาความรู้เพิ่มเติมจากนอกห้องเรียนเรื่องการแปล Tense  เนื่องจากไม่เข้าใจและยังแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย อานไม่เข้าใจและไม่ถูกต้องตาม Tense จึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนอ่านทำความเข้าใจและฝึกฝน และได้เรียนรู้ดังนี้

ลักษณะ Tense ในภาษาอังกฤษ   ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปกริยาไปตามกาล บ้างอาจเปลี่ยนรูป บ้างเติมปัจจัย  โดยหน้าที่ของกริยาที่เปลี่ยนไปที่เราเรียกว่า tense ต่าง ๆ นี้  คือ เพื่อบอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ  กัน  เช่น  

                        My friend lives in Bangkok. (simple present)
กำลังอยู่ในขณะนั้น
          My friend lived in Bangkok.
 ไม่อยุ่ที่นั้นแล้ว
          My friend has lived in Bangkok. 
  เคยอยู่ในอดีต ตอนนี้อาจอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้

ในภาษาไทย กาลไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะเมื่อต้องการบอกกาลเวลาจะมีคำบอกอย่างชัดเจน เช่น จะ กำลัง เป็นต้น  โดยในภาษาอังกฤษและภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีความแตกต่างกันของ Tense ในแง่ของรูปคำและหน้าที่คือ ภาษาอังกฤษรูปกริยาจะเปลี่ยน แต่ภาษาไทยไม่เปลี่ยนรุปกริยา ในภาษาอังกฤษมีกาเติมปัจจัย –d แต่ในภาษาไทยมีเพียงการเติม จะ กำลัง นอกจากนี้ภาษาอังกฤษมีหรือไม่มีคำบอกกาลกำกับกาลกำกับ ส่วนหน้าที่นั้น ภาษาอังกฤษจะบอกความหมายของกาลเวลาต่างๆกันตาม Tense ที่ต่างกัน และสามารถเดา รุ้กาลเวลาจากปริบทหรือคำกำกับเวลา แต่ในภาษาไทยนั้นไม่ให้ความสพคัญกับสิ่งนี้ โดยการแปลมีวิธีแปล คือ ดู Tense แล้วแปลถ่ายทอดเป้ฯภาษาไทยให้ตรงกับกาลเวลา ถ้าในภาษาอังกฤษมีคำกริยาหลายตัวอยู่ใน Tense เดียวกันไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมกริยาไปทุกที่


            Tense มีความสำคัญในด้าการแปลเป็นอ่างมาก ในการแปลทุกครั้ง ต้องดูก่อนว่าประโยคนั้นใช้  Tense  อะไร และแปลให้ตรงตาม Tense เพื่อให้การแปลเป้ไปตามหลักการแปลและมีความถูกต้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น